รู้หรือไม่! “ใช้หลอดดูด” ภัยใกล้ตัวที่คุณต้องอ่าน

  • หลายคนคงคุ้นเคยกับการใช้ “หลอดดูด” น้ำเพื่อทำให้การดื่มน้ำสะดวกยิ่งขึ้น แต่หลายคนอาจไม่ทราบว่าการใช้หลอดดูดน้ำนั้นส่งผลกระทบต่อร่างกายมากกว่าที่คิด
  • โรคติดต่อ จากการใช้หลอดดูดน้ำ ช้อนส้อม และแก้วร่วมกัน ได้แก่ โรคโมโนนิวคลีโอซิส จากเชื้ออีบีวี หรือซีเอ็มวี โรคเริมที่ปาก โรคมือเท้าปาก โรคไวรัสตับอักเสบ เอและอี โรคคางทูม และโรคไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดอื่น ๆ
  • เสี่ยงน้ำหนักขึ้นนอกจากโรคร้ายแล้ว การใช้หลอดดูด อาจจะทำให้มีปัญหาเรื่องของสุขภาพฟัน ไม่ว่าจะเป็น ฟันผุ ฟันเหลือง  และทำให้น้ำหนักขึ้น มีริ้วรอยได้

แต่รู้หรือไม่? การใช้หลอดดูดน้ำ อาจจะนำมาซึ่งโรคร้าย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากมาย ยิ่งใครที่ใช้สิ่งของร่างกับผู้อื่น อย่าง หลอดดูดน้ำ ช้อนส้อม หรือแค่ดื่มน้ำแก้วเดียวกับเพื่อน จะนำโรคติดต่อทางน้ำลายมาให้ได้หลายโรค และบางโรคก็เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตเลยทีเดียว

ภัยร้ายจากหลอดดูดน้ำ

ดังที่เคยปรากฏให้เห็นตามข่าวว่ามีคนเสียชีวิตจากเชื้อไวรัสตับอักเสบ ชนิดเอ จากการใช้หลอดดูดร่วมกับคนอื่น กรมอนามัยไม่อยากให้ทุกคนชะล่าใจ ไม่เผลอใช้หลอดดูดน้ำหลอดเดียวกับใคร เพราะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เขาหรือเราอาจมีเชื้อโรคอะไรอยู่ในตัว ป้องกันไว้ดีกว่า

ว่ากันว่า 7 โรคติดต่อ จากการใช้หลอดดูดน้ำ ช้อนส้อม และแก้วร่วมกัน มีดังนี้

  1. โรคโมโนนิวคลีโอซิส จากเชื้ออีบีวี หรือซีเอ็มวี
  2. โรคเริมที่ปาก
  3. โรคมือเท้าปาก รวมทั้งโรดเฮอร์แปงไจนา
  4. โรคไวรัสตับอักเสบ เอและอี
  5. โรคหัด
  6. โรคคางทูม
  7. โรคไข้หวัดใหญ่ และไข้หวัดอื่น ๆ รวมถึงโรคโควิด-19

ผลกระทบต่อร่างกายเมื่อใช้หลอดดูดน้ำ

  1. ดื่มน้ำด้วยหลอด เสี่ยงท้องอืดและแน่นท้องการใช้หลอดดูดน้ำไม่ได้ช่วยให้คุณดูดซับแค่เครื่องดื่มเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงอากาศส่วนเกินเข้าสู่ร่างกายด้วย Nesochi Okeke-Igbokwe แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพอธิบายว่า การกลืนอากาศมากเกินไปนี้เรียกว่า aerophagia การสะสมของอากาศส่วนเกินในระบบทางเดินอาหารอาจทำให้เกิดอาการเรอเพื่อระบายอากาศที่กลืนเข้าไป  เช่นเดียวกับการใช้หลอด การกินอาหารเร็วเกินไป และดื่มเครื่องดื่มที่มีฟองอากาศสูง ล้วนส่งผลต่อปริมาณอากาศที่กลืนเข้าสู่ร่างกายได้เช่นกัน

  2. การดูดน้ำผ่านหลอดเป็นหนึ่งในกิจวัตรประจำวันที่ทำให้เกิดริ้วรอยการใช้หลอดดูดน้ำเป็นประจำ หมายความว่ากล้ามเนื้อของคุณต้องทำการเคลื่อนไหวซ้ำๆ ของการจู๋ปาก Yahoo! Lifestyle รายงานว่า การทำซ้ำการเคลื่อนไหวนี้จะทำให้คอลลาเจนบริเวณริมฝีปากเสื่อมสภาพ ส่งผลให้เกิดรอยย่นถาวรบนผิวหนัง
  3. ดื่มน้ำด้วยหลอดเสี่ยงสุขภาพฟัน

    แม้การดื่มน้ำด้วยหลอดจะดูเหมือนเป็นวิธีที่ดีในการป้องกันฟันผุ แต่แท้จริงแล้วอาจไม่ได้ผลอย่างที่คิด “น้ำตาลจากน้ำอัดลมหรือกรดจากไวน์และกาแฟ ยังสัมผัสกับฟันของคุณอยู่แม้จะดื่มผ่านหลอดก็ตาม” Kami Kohani ทันตแพทย์กล่าว “คุณอาจส่งผลเสียส่วนใหญ่ไปยังฟันกราม ซึ่งเป็นจุดที่มักเกิดฟันผุได้ง่ายที่สุด” นี่คืออีกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงไม่ควรดูดน้ำจากหลอดพลาสติกอีกต่อไป

    เหตุผลที่การดื่มน้ำด้วยหลอดอาจทำให้ฟันผุ

    • น้ำตาลและกรด: แม้จะดื่มผ่านหลอด แต่เครื่องดื่มที่มีน้ำตาลหรือกรดก็ยังไหลผ่านฟันของคุณ น้ำตาลเหล่านี้เป็นอาหารของแบคทีเรียที่ทำให้เกิดฟันผุ กรดจะกัดกร่อนผิวเคลือบฟัน ทำให้ฟันผุได้ง่ายขึ้น
    • การไหลของน้ำ: การดื่มผ่านหลอดจะจำกัดการสัมผัสของน้ำกับฟันของคุณ ปกติแล้ว น้ำลายจะช่วยชะล้างน้ำตาลและกรดออกจากฟัน แต่การดื่มผ่านหลอดจะลดการไหลของน้ำลาย ส่งผลให้คราบจุลินทรีย์สะสมอยู่บนฟันได้นานขึ้น
    • การดูดซึมน้ำตาล: การดูดน้ำผ่านหลอดจะทำให้เครื่องดื่มไหลผ่านฟันของคุณช้าลง ซึ่งหมายความว่าน้ำตาลและกรดจะมีเวลาสัมผัสกับฟันของคุณนานขึ้น เพิ่มโอกาสในการเกิดฟันผุ
  4. ดื่มน้ำด้วยหลอด เสี่ยงฟันเหลือง Mark Burhenne ทันตแพทย์ เสริมว่า การใช้หลอดดูดน้ำไม่ได้ช่วยป้องกันฟันเหลืองเช่นกัน ขึ้นอยู่กับว่าคุณวางหลอดไว้ตรงส่วนไหนของฟัน ตามที่ Dr. Burhenne อธิบาย วิธีเดียวที่การใช้หลอดดูดน้ำอาจช่วยปกป้องฟันได้บางส่วน คือการวางปลายหลอดไว้ด้านหลังช่องปาก และให้น้ำไหลลงคอโดยตรงโดยไม่สัมผัสกับฟัน “แต่แน่นอนว่า ในการดื่มแบบนี้ มันเหมือนกับการกระดกมากกว่าการดื่มน้ำผลไม้หรือกาแฟ และขัดต่อวัตถุประสงค์หลักของการดื่ม” Dr. Burhenne กล่าว

    เหตุผลที่การดื่มน้ำด้วยหลอดอาจทำให้ฟันเหลือง

    • คราบจากเครื่องดื่ม: เครื่องดื่มบางชนิด เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม และไวน์ มีสีเข้มที่สามารถเกาะติดฟันของคุณได้ การดื่มผ่านหลอดอาจช่วยลดการสัมผัสของเครื่องดื่มกับฟันด้านหน้า แต่ก็ยังสัมผัสกับฟันด้านอื่นๆ อยู่ เช่น ฟันกราม
    • การไหลของน้ำ: การดื่มผ่านหลอดจะจำกัดการไหลของน้ำลาย ซึ่งปกติแล้วจะช่วยชะล้างคราบสีออกจากฟัน การลดการไหลของน้ำลาย ส่งผลให้คราบสีสะสมอยู่บนฟันได้นานขึ้น
    • การดูดซึมคราบ: การดูดน้ำผ่านหลอดจะทำให้เครื่องดื่มไหลผ่านฟันของคุณช้าลง ซึ่งหมายความว่าคราบสีจากเครื่องดื่มจะมีเวลาสัมผัสกับฟันของคุณนานขึ้น เพิ่มโอกาสในการเกิดฟันเหลือง
  5. ดื่มน้ำด้วยหลอด เสี่ยงน้ำหนักขึ้น

    ตามรายงานของ Washington Post การใช้หลอดดูดน้ำอาจทำให้คุณดื่มเครื่องดื่มมากกว่าการใช้แก้วหรือถ้วย โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่สูง ส่งผลต่อน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การดื่มผ่านหลอดจะทำให้รู้สึกไม่ถึงกลิ่นของเครื่องดื่ม ซึ่งอาจนำไปสู่การดื่มมากเกินไป ตามรายงานของ Telegraph อย่างไรก็ตาม การใช้หลอดดูดน้ำไม่ได้แปลว่าจะทำให้น้ำหนักขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่จะทำให้การควบคุมปริมาณแคลอรี่จากเครื่องดื่มทำได้ยากขึ้น

    เหตุผลที่การดื่มน้ำด้วยหลอดอาจทำให้น้ำหนักขึ้น

    • ดื่มมากขึ้น: การใช้หลอดดูดน้ำทำให้รู้สึกดื่มง่ายขึ้น ส่งผลให้ดื่มเครื่องดื่มมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว
    • ไม่รู้สึกอิ่ม: การดื่มผ่านหลอดจะทำให้รู้สึกอิ่มช้าลง ส่งผลให้ดื่มเครื่องดื่มต่อแม้จะอิ่มแล้ว
    • กลิ่น: การดื่มผ่านหลอดจะทำให้รู้สึกไม่ถึงกลิ่นของเครื่องดื่ม ซึ่งอาจนำไปสู่การดื่มมากเกินไป
    • แคลอรี่: เครื่องดื่มบางชนิด เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้ และกาแฟ มีแคลอรี่สูง การดื่มมากอาจทำให้น้ำหนักขึ้น
  6. ดื่มน้ำด้วยหลอดพลาสติก เสี่ยงสารเคมี

    หลอดพลาสติกส่วนใหญ่ทำจากโพลีโพรพิลีน ซึ่งเป็นพลาสติกชนิดหนึ่งที่ผลิตจากปิโตรเลียม ตามรายงานของ Washington Post แม้ว่าสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกาจะอนุมัติให้โพลีโพรพิลีนใช้กับอาหารได้ แต่สารเคมีจากพลาสติกอาจปนเปื้อนลงในน้ำได้ ตามรายงานของ Post งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Science ยังแสดงให้เห็นว่าสารประกอบเหล่านี้อาจส่งผลต่อระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนในมนุษย์

    อันตรายจากการดื่มน้ำผ่านหลอดพลาสติก

    • สารเคมีปนเปื้อน: สารเคมีจากพลาสติก เช่น ไบเฟนอล เอ (BPA) อาจปนเปื้อนลงในน้ำที่ดื่มผ่านหลอด สารเคมีเหล่านี้อาจส่งผลต่อสุขภาพ เช่น ส่งผลต่อระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาท และระบบภูมิคุ้มกัน
    • ฮอร์โมนรบกวน: งานวิจัยบางชิ้นชี้ให้เห็นว่าสารประกอบจากพลาสติกบางชนิดอาจเลียนแบบฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย ส่งผลต่อสมดุลฮอร์โมนและอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคบางชนิด เช่น มะเร็งเต้านม

    “โรคคางทูม”เกิดจากการใช้ “หลอดดูดน้ำ” เดียวกัน

    ดื่มน้ำใน หลอด เดียวกันไม่เป็นอะไร จริงหรือ ? แต่รู้หรือไม่ว่า พฤติกรรมนี้อาจเสี่ยงเป็นโรคติดต่อซึ่งเรียกกันว่า โรคคางทูม เป็นโรคที่ใครหลายคนรู้จักและเคยได้ยินกันมานาน หากไม่เกิดขึ้นกับตัวเองหรือบุคคลใกล้ตัวอาจไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง ถึงอย่างไรก็ไม่ควรมองข้ามพฤติกรรมซึ่งนำมาสู่โรคคางทูมได้ ควรทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคและวิธีรักษาเป็นเรื่องที่ไว้เบื้องต้น มาดูกันว่า โรคคางทูม เกิดจาก อะไร ?

    รศ. นพ.จักรพงษ์ บรูมินเหนทร์ สาขาวิชาโรคติดเชื้อ  ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี  มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่าโรคคางทูม เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งชื่อว่า มัมส์ (Mumps) ไวรัสชนิดนี้สามารถติดต่อได้จากการสัมผัสละอองฝอยของผู้ป่วยโดยเชื้อไวรัสจะอยู่ในสารคัดหลั่งต่าง ๆ และถูกแพร่เชื้อผ่านการไอ การจาม หรือน้ำลาย ทำให้ติดเชื้อได้ง่าย

    เพราะฉะนั้น การดื่มน้ำโดยใช้ หลอดดูดน้ำ เดียวกันทำให้มีโอกาสติดโรคได้ เนื่องจากสารคัดหลั่งของผู้ป่วยที่มีเชื้อบน หลอดดูดน้ำ ได้แพร่เชื้อไปยังผู้อื่นนอกจากนั้นยังรวมถึงอุปกรณ์ เครื่องใช้ต่าง ๆ เช่น ช้อน แปรงสีฟัน และของใช้ส่วนตัว

    • อาการของโรคคางทูม

    ลักษณะอาการทั่วไปและภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ ดังนี้

    หลังจากได้รับเชื้อไวรัส จะมีระยะฟักตัวในร่างกายประมาณ ประมาณ 12 ถึง 25 วัน จากนั้นจะเริ่มมีไข้ เมื่อยตัว อ่อนเพลีย จากนั้นประมาณ 48 ชั่งโมง จะเกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายบริเวณ คาง ทำให้เกิดการบวม ปวด แดง และร้อนที่คาง ข้างแก้มหรือใบหู จากนั้นอาการจะทุเลาลงภายใน 1-2 สัปดาห์

    โรคคางทูมยังอาจส่งผลกระทบต่อร่างกายทำให้มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ในเพศชายอาจทำให้อัณฑะอักเสบ ในเพศหญิงอาจทำให้ท่อนำรังไข่อักเสบ

    สามารถเริ่มต้นแพร่เชื้อให้สู่ผู้อื่นได้ก่อนที่ต่อมน้ำลายจะอักเสบประมาณ1-2 วันก่อนต่อมน้ำลายอักเสบ จนถึง 5 วันหลังต่อมน้ำลายอักเสบกระทั่งคางยุบบวมเพราะฉะนั้นแล้วหากสังเกตอาการที่ผิดปกติของร่างกายให้เฝ้าระวังทันทีเพื่อลดอัตราการแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่น

    โรคคางทูมหายเองได้ไหม

    การรักษาโรคคางทูมสามารถหายเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ด้วยการพักผ่อน ดื่มน้ำให้เพียงพอ แต่หากเกิดภาวะแทรกซ้อนหรืออาการไม่ดีขึ้น ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสม

    • วิธีรักษาโรคคางทูม

    ในปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสที่สามารถรักษาโรคคางทูมได้ทำได้เพียงรักษาตามอาการจนกว่าจะหายดีเท่านั้น โดยปกติโรคคางทูมสามารถรักษาจนอาการดีขึ้นภายใน 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้สิ่งสำคัญคือการป้องกันการเกิดโรค ทำได้ด้วยการฉีดวัคซีน

    ปัจจุบันมีวัคซีนสำหรับป้องกันโรคคางทูมซึ่งสามารถป้องกันโรคได้ถึง 3 ชนิดด้วยกัน ใน 1 เข็ม ได้แก่ โรคหัด โรคหัดเยอรมัน และโรคคางทูม โดยเด็กแรกเกิดส่วนใหญ่ในประเทศไทยจะได้รับวัคซีนคนละสองเข็ม ซึ่งเป็นวัคซีนบังคับที่จำเป็นต้องฉีดอยู่แล้ว

    โรคคางทูมกับวิธีป้องกันการเกิดโรค

    การป้องกันการเกิดโรคสามารถทำได้หลัก ๆ 2 วิธีด้วยกัน ดังนี้

    1. ลดการรับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย

      หลีกเลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยโดยตรง ควรรับประทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ ไม่ใช้อุปกรณ์ร่วมกับผู้อื่น เนื่องจากเชื้อไวรัสสามารถส่งผ่านทางสารคัดหลั่ง ละอองฝอย หรือน้ำลาย

    2. การเสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย

      การเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย เริ่มต้นจากการฉีดวัคซีนตั้งแต่เด็ก ลดโอกาสการติดเชื้อ ซึ่งควรฉีดอย่างน้อย 2 ครั้ง ตั้งแต่อายุ 9 ถึง 12 เดือน และ 2 ปึ

    • คางบวมแดงอาจไม่ได้เกิดจาก โรคคางทูม

    โรคคางทูมจะมีลักษณะของคางที่บวมแดงขึ้นมาจากต่อมน้ำลายที่บริเวณคางอักเสบแต่ทั้งนี้อาจมีอาการคางบวมจากสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคเช่นกัน ดังนี้

    • ได้รับอาการบาดเจ็บจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบริเวณขากรรไกร
    • โรคเหงือกอักเสบ หรือมีการติดเชื้อในช่องปากที่บริเวณคางทำให้มีอาการบวมแดงและปวด
    • ต่อมน้ำลายอักเสบจากการติดเชื้อของแบคทีเรีย

    สิ่งสำคัญในการป้องกันโรคคางทูม คือยับยั้งสาเหตุของเกิดโรคด้วยการฉีดวัคซีนเป็นหลัก เนื่องจากเป็นโรคที่ยังไม่มีการรักษาเฉพาะเจาะจง รวมถึงหมั่นดูแลสุขภาพร่างกาย งดใช้สิ่งของร่วมกับผู้อื่นซึ่งเป็นต้นตอการแพร่เชื้อโรค ไม่เพียงลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคนี้เท่านั้น ยังช่วยให้ห่างไกลจากโรคติดต่อชนิดอื่น ๆ อีกด้วย

    ระวังโรคไข้หวัด คออักเสบ จากการใช้หลอดดูด

    • ไข้หวัด

    เป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่ายมาก แค่อยู่ใกล้คนเป็นหวัด หรือยิ่งดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้หลอดดูดน้ำร่วมกัน เราก็มีสิทธิ์รับเชื้อหวัดเข้าสู่ร่างกายได้แล้ว ถึงไข้หวัดธรรมดาจะไม่ใช่โรคที่ร้ายแรงมาก เพราะสามารถหายได้เองภายใน 5-7 วัน แต่ก็ต้องระวังกรณีรับเชื้อไข้หวัดใหญ่เข้ามา จะมีอาการรุนแรงมากกว่าและอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน ที่เราเคยได้ยินกันก็อย่างเช่น โรคไข้หวัดใหญ่ H1N1, โรคไข้หวัดนก  มาลองเช็กว่าอาการไข้หวัดใหญ่แตกต่างจากไข้หวัดธรรมดาอย่างไร เพื่อไว้สังเกตตัวเอง

    •  คออักเสบ (Strep throat)

    คออักเสบก็เป็นอีกหนึ่งโรคที่พบได้บ่อย หากเราใช้หลอดดูดน้ำหรือดื่มน้ำแก้วเดียวกับคนที่มีเชื้อแบคทีเรียกรุ๊ป เอ สเตรปโตคอกคัส ในน้ำลาย หรืออาจปนเปื้อนในน้ำมูกและเสมหะ ซึ่งเมื่อเราได้รับเชื้อสเตรปโตคอกคัสเข้าสู่ร่างกายโดยการคลุกคลี หรือใช้ของร่วมกับคนที่ป่วยเป็นโรคคออักเสบ เราจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ หนาวสั่น เบื่ออาหาร เจ็บคอ  และจะเจ็บคอมากขึ้นตอนที่กลืนอาหาร ถ้าอ้าปากดูจะเห็นว่าต่อมทอนซิลแดง มีลักษณะคล้ายหนอง มีสีเหลือง ๆ ปกคลุมบนผิวของต่อมทอนซิล และหากลองจับต่อมน้ำเหลืองที่คอจะรู้สึกว่าบวม อย่างไรก็ตามโรคคออักเสบไม่ใช่โรคร้ายแรงอะไร  ส่วนใหญ่หายได้เองใน 7 วัน  แต่ถ้าไปหาหมอ หมอจะให้ยาปฏิชีวนะมากิน ซึ่งจะช่วยให้หายเร็วขึ้นภายใน 3 วัน

    • โรคมือเท้าปาก  (Hand-foot-mouth disease)

    ได้ยินข่าวโรงเรียนประกาศหยุด 5-7 วัน หลังจากพบเด็กในโรงเรียนป่วยเป็นโรคมือเท้าปาก ก็อย่าชะล่าใจว่าโรคนี้เกิดขึ้นกับเด็ก ๆ เท่านั้น เพราะผู้ใหญ่อย่างเรา ๆ มีสิทธิ์เป็นโรคมือเท้าปากได้ไม่ต่างกัน แค่เพียงดื่มน้ำแก้วเดียวกันกับเด็กหรือผู้ใหญ่ที่มีเชื้อ หรือแค่ไอ จามรดใส่กัน เราก็ติดเชื้อได้แล้ว

    อาการที่สังเกตเห็นได้เมื่อป่วยก็คือ จะเริ่มจากมีไข้ มีแผลในปากคล้ายแผลร้อนใน และมีผื่นขึ้นเป็นจุดแดง หรือเป็นตุ่มน้ำใสที่บริเวณ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ลำตัว แขน ขา ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรง สามารถหายได้ แต่ถ้าใครป่วยก็ควรหยุดเรียน หยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านประมาณ 1 สัปดาห์ เพื่อจะได้ไม่ไปแพร่เชื้อให้กับคนอื่น

    ทว่าหากติดเชื้อโรคมือเท้าปาก สายพันธุ์เอนเทอโรไวรัส (EV) 71 เคสนี้ค่อนข้างอันตราย เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคแทรกซ้อนที่รุนแรงจนทำให้เสียชีวิตได้ ดังนั้นหากใครป่วยมือเท้าปากแล้วมีอาการซึม อ่อนแรง ชักกระตุก มือสั่น เดินเซ ต้องรีบไปพบแพทย์โดยด่วน มาเรียนรู้เรื่องโรคมือเท้าปากเพิ่มเติม เพื่อดูแลบุตรหลานและตัวคุณเองกันดีกว่า

    • โรคหูดข้าวสุก (Molluscum contagiosum)

    หูด มีอยู่หลายชนิด แต่ถ้าติดต่อจากการใช้ของส่วนตัวร่วมกับคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นแก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ ผ้าเช็ดตัว รองเท้า ก็ต้องระวัง “หูดข้าวสุก” ให้ดีโรคนี้เกิดจากเชื้อไวรัส  Molluscum contagiosum virus (MCV) ลักษณะเด่นคือ จะเป็นตุ่มเนื้อขนาดเล็ก มีสีเดียวกับผิวหนัง รูปโดม ผิวหูดเรียบเป็นมันคล้ายไข่มุก มีรอยบุ๋มตรงกลางคล้ายสะดือ เวลาบีบตุ่มออกจะได้สารสีขาวข้างในคล้ายข้าวสุก มักขึ้นตามลำตัว ท้อง แขน ขา รักแร้ ใบหน้า ดวงตา ขาหนีบ บริเวณอวัยวะเพศ แต่จะไม่รู้สึกคันหรือเจ็บ หากเรามีภูมิคุ้มกันดี โรคนี้จะหายไปได้เองภายใน 2-9 เดือน (เฉลี่ย 2-3 เดือน) แต่หากมีโรคแทรกซ้อนอาจใช้เวลานานเป็นปี

    • โรคเริมที่ปาก (Herpes Simplex) 

    ตุ่มใส ๆ ที่ขึ้นบริเวณริมฝีปากและทำให้เรารู้สึก คัน ปวดแสบปวดร้อน ที่เรียกว่า เริม นั้นเกิดจากการติดเชื้อไวรัส  Herpes virus (HSV) ซึ่งเจ้าไวรัสที่ว่านี้จะแฝงอยู่ในน้ำลาย น้ำเหลือง หรือแม้กระทั่งอสุจิ และจะเข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนัง เยื่อเมือกและเยื่อบุช่องปาก จากการดื่มน้ำแก้วเดียวกัน ใช้ของร่วมกัน รวมทั้งการจูบปาก

    ถ้าเป็นโรคเริมคุณจะหายได้เองภายใน 2 สัปดาห์  แต่หากมีอาการปวดมาก มีน้ำเหลืองไหลออกมาจากตุ่มแผล ระคายเคืองตา และมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียล ควรไปพบแพทย์เพราะนั่นแสดงว่าตุ่มเริมนั้นเกิดการติดเชื้อแล้ว

    • ไวรัสตับอักเสบ (Hepatitis)

    ไวรัสตับอักเสบมีหลายสายพันธุ์ค่ะ ทั้งไวรัสตับอักเสบ เอ บี ซี ไปจนถึงไวรัสตับอักเสบ จี แต่ไวรัสตับอักเสบที่ติดต่อกันได้ทางอาหารและน้ำดื่มก็คือไวรัสตับอักเสบ เอ (Hepatitis A) และไวรัสตับอักเสบ อี (Hepatitis E) อาการของไวรัสตับอักเสบ เอ ที่สามารถสังเกตได้ก็คือ มีไข้ ตัวร้อน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้องบริเวณชายโครงขวา ท้องร่วง ปัสสาวะจะเริ่มมีสีเข้ม อุจจาระสีซีด และมีอาการตัวเหลือง ตาเหลืองที่เรียกว่าดีซ่าน

    ส่วนอาการของไวรัสตับอักเสบ อี นั้นก็จะเหมือนกับไวรัสตับอักเสบ เอ เพียงแต่จะมีอาการดีซ่านให้เห็นชัดเจนกว่า และถ้าเป็นโรคไวรัสตับอักเสบ เอและอี กว่าจะหายดีก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 เดือนเลยทีเดียว คุณคงไม่อยากป่วยเป็นเดือนเพียงเพราะเผลอไปใช้หลอดดูดหลอดเดียวกันกับคนอื่นหรอกนะคะ มาทำความเข้าใจโรคไวรัสตับอักเสบ เอ

    • คอตีบ (Diphtheriae)

    ถ้ามีไข้ต่ำ  ๆ เจ็บคอ เบื่ออาหาร ก็อย่าเพิ่งชะล่าใจไปนะคะว่าเป็นแค่หวัด เพราะอาจจะเป็นโรคคอตีบก็ได้ ซึ่งจะมีอาการร่วมกับไอเสียงดังก้อง กลืนอาหารลำบาก อาจหายใจติดขัด หอบ ชีพจรเต้นเร็ว ในรายที่มีอาการรุนแรง พิษจากคอตีบจะทำให้เกิดเนื้อตายเป็นแผ่นฝ้าในลำคอหรือหลอดลม ทำให้หายใจไม่ออก เสียชีวิตได้เลย ดังนั้นอย่านิ่งนอนใจเด็ดขาด เพราะโรคนี้แพร่จากอีกคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่งได้ด้วยการไอ จาม การใช้สิ่งของร่วมกัน หรือสัมผัสกับเสมหะของคนที่เป็นโรคคอตีบหรือคนที่ติดเชื้อคอตีบ

    ถ้าตอนเด็ก ๆ คุณไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโรคคอตีบมาก่อน ก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะป่วยโรคนี้เหมือนกันหากใช้หลอดดูดน้ำร่วมกับคนเป็นคอตีบ หรืออยู่ใกล้เด็กทารกที่ยังไม่เคยฉีดวัคซีน ดังนั้นเพื่อป้องกันโรคนี้คุณก็สามารถไปฉีดวัคซีนรวมคอตีบและบาดทะยักชนิดสำหรับเด็กโตและผู้ใหญ่ (Tdap) ไว้ได้หรือถ้าใครมีลูก ๆ หลาน ๆ ก็อย่าลืมพาพวกเขาไปฉีดวัคซีนป้องกันคอตีบ ซึ่งฉีดได้ตั้งแต่อายุ 2-3 เดือนเลย

    • เยื่อหุ้มสมองอักเสบ (Meningitis)

    โรคที่มีอาการรุนแรงถึงขั้นหูหนวก ตาบอด เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตจนถึงแก่ชีวิตได้ อย่าง “เยื่อหุ้มสมองอักเสบ” ก็มีสาเหตุหนึ่งมาจากการสัมผัสและใช้สิ่งของร่วมกับคนป่วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นหลอดดูดน้ำ แก้วน้ำ ช้อนส้อม บอกให้รู้ว่าเราจะชะล่าใจไม่ได้เด็ดขาด โดยโรคนี้ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส และรา เมื่อติดเชื้อจะมีไข้สูง ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็ง คลื่นไส้อาเจียน ชัก ตาสู้แสงไม่ได้ หากรักษาไม่ทันอาจจะมีอาการรุนแรงดังที่บอกไปข้างต้น ทว่ายังมีโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกับโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอยู่บ้าง ถ้าอย่างงั้นลองมาทำความเข้าใจโรคนี้ให้มากขึ้น เพื่อวินิจฉัยว่าเราป่วยเป็นอะไรแน่กันก่อน

    อ้างอิง: chulalongkornhospital ,rama.mahido ,sanook , cdc ,niems

You may also like...

error: Content is protected !!